รายละเอียดของทฤษฎี
รายละเอียดของทฤษฎี
อาร์โนลด์ กีเซล (Arnold Gesell 1880 – 1961) เป็นนักจิตวิทยาที่มีความเชื่อในเรื่องของความ เจริญเติบโตตามวุฒิภาวะ โดยให้ความหมายของวุฒิภาวะไว้ว่า “วุฒิภาวะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตาม ธรรมชาติอย่างมีระเบียบ โดยไม่ได้เกี่ยวโยงกับสิ่งเร้าภายนอกเลย” กีเซล เชื่อว่าพฤติกรรมของเด็กจะเกี่ยวข้อง กับการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา เช่น ความพร้อมของกล้ามเน้ือ ต่อมต่าง ๆ ของร่างกาย ฯลฯ จะกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมขึ้น เช่น เด็กจะพูดได้ก็ต่อเมื่อมีความพร้อมด้าน กล้ามเน้ือปาก เป็นต้น ดังนั้น การเรียนรู้จะไม่เกิดหากร่างกายไม่มีความพร้อม นอกจากนี้ กีเซล เชื่อว่าวุฒิ ภาวะเพียงประการเดียวที่มีส่วนรับผิดชอบในการเจริญเติบโตและความสามารถในการทําพฤติกรรมต่าง ๆ การฝึกฝนหรือการเรียนรู้ไม่ว่าในลักษณะใดก็ตาม จะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่จะเป็นการเสียเวลาโดยใช่เหตุ หากร่างกายยังไม่พร้อมหรือยังไม่มีวุฒิภาวะ
ด้วยความเชื่อดังกล่าว กีเซล จึงได้ทําการทดลองเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีด้วยการทดลองเรื่องการเดิน ของเด็กฝาแฝดว่าจะเป็นผลมาจากวุฒิภาวะหรือการเรียนรู้ โดยนําเด็กที่เป็นแฝดแท้ (Identical Twin) 2 คน ให้คนแรกหัดขึ้นบันได และปล่อยคนหลังไว้เฉย ๆ ฝาแฝดคนแรกเดินขึ้นบันไดสําเร็จภายใน 6 สัปดาห์ ต่อมา เมื่อนําแฝดคนหลังมาหัดเดินขึ้นบันได ก็ปรากฏว่าแฝดคนหลังทําสําเร็จได้ภายใน 2 สัปดาห์ และความสามารถ ก็ไม่แตกต่างจากแฝดคนแรกเลย กีเซลจึงสรุปผลการทดลองว่า ความพร้อมหรือวุฒิภาวะมีส่วนสําคัญในการ พัฒนาการในขั้นต่อ ๆ ไปของบุคคล และเมื่อมีความพร้อมของระบบต่าง ๆ แล้ว เด็กสามารถจะทํากิจกรรม ของขั้นนั้นได้เอง โดยไม่ต้องการการเรียนรู้แต่ประการใด
จากผลการทดลองดังกล่าว กีเซล จึงได้กําหนดทฤษฎีพัฒนาการไว้ดังนี้
1. ทิศทางของพัฒนาการ (Developmental Direction) เป็นการพัฒนาการอวัยวะ เคลื่อนไหวอย่างมีระเบียบตามแนวนอน (Cephalocaudal) และแนวขวาง (Proximo Distal)
2. การพัฒนาตามแนวนอนคือโครงสร้างและส่วนประกอบของร่างกายจะเจริญตามแนวนอน โดยการเคลื่อนไหวของอวัยวะจะเริ่มจากส่วนบน กล่าวคือ จากส่วนศีรษะลงมาด้านล่างของร่างกาย และการ พัฒนาตามแนวขวาง หมายถึง ความเจริญของร่างกายจะพัฒนาจากส่วนกลางลําตัวออกไปสู่ด้านข้าง กล่าวคือ ศูนย์บังคับการเคลื่อนไหวจะมีการบังคับจาก แขน ขา ไปสู่มือและนิ้ว เป็นต้น ซึ่งพัฒนาการทั้งสองอย่างนี้จะ อยู่ภายใต้อิทธิพลของระบบประสาทที่มีความพร้อมเป็นสําคัญ
3. พัฒนาการมีความสัมพันธ์กัน(ReciprocalInterweaving) จะมีทั้งทางบวกและทางลบ ในทางลบกล่าวคือในขณะที่พฤติกรรมชนิดหนึ่งของเด็กกําลังเจริญสูงสุด พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งจะชะงัก เช่น ขณะที่ทารกกําลังหัดเดิน การหัดพูดจะหยุดชะงักลง ในทางบวกคือในขณะที่เด็กกำลังหัดเดินก็สามารถพูดได้ เป็นพฤติกรรมที่พัฒนาไปพร้อมๆกัน เป็นต้น
4. พัฒนาการมีการใช้กิจกรรมร่วมกัน(Functional Asymmetry)กล่าวคือวุฒิภาวะของ ร่างกายนั้นจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากกิจกรรมส่วนรวมมาสู่กิจกรรมเฉพาะตัว เช่น การเคลื่อนไหวของ อวัยวะทุกส่วน ท้ังมือและขาจะไปพร้อม ๆ กัน ต่อมาเมื่อมีวุฒิภาวะจะเคลื่อนไหวเฉพาะส่วนได้ เช่น มือ และ นิ้ว เป็นต้น
5. การพัฒนาต่างๆล้วนเป็นผลมาจากวุฒิภาวะ(IndividuatingMaturation)กีเซลเชื่อ ว่าแบบแผนการเจริญเติบโตที่ไม่เท่ากัน หรือไม่เหมือนกันของแต่ละคนนั้น เนื่องมาจากความแตกต่างกันของ วุฒิภาวะ เพราะวุฒิภาวะจะเกิดอย่างมีกฎเกณฑ์แต่อัตราจะแตกต่างกันแล้วแต่บุคคล และวุฒิภาวะจะมี อิทธิพลโดยตรงกับพฤติกรรมของบุคคล โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้แต่ประการใดเลยลิงก์เพิ่มเติม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น